น่าไปกับ 7 ที่เที่ยวแอฟริกาใต้ ต้องผจญภัยสักครั้ง อีกหนึ่งใน 31 ประเทศที่คนไทยไม่ต้องขอวีซ่า สิ่งที่คุณต้องการสำหรับการเดินทางคือหนังสือเดินทางของคุณ หากคุณมีโอกาสได้สัมผัสเมืองลึกลับแห่งนี้ คุณสามารถสัมผัสธรรมชาติและสัตว์ป่าได้อย่างใกล้ชิด เรียกได้ว่าเดินตามรอยสัตว์ป่าสุดอันตราย ด้วยเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ ทัวร์แอฟริกาใต้นี้จะทำให้คุณได้ผจญภัยที่น่าตื่นเต้นในดินแดนที่แปลกใหม่อย่างแน่นอน สนุกและคุ้มค่าแน่นอน ก็ไม่แพงเช่นกัน ฉันอยากไปแอฟริกาใต้สักวันหนึ่ง มาเตรียมตัวเดินทางไปยังสถานที่ที่คุณสนใจได้เลย
1. เที่ยวจัตุรัส CHURCH SQUARE แห่งเมืองพริทอเรีย
CHURCH SQUARE เข้าสู่ดินแดนแอฟริกาใต้กันเถอะ… เราขอพาทุกคนไปเที่ยวสวนดอกไม้ที่บานสะพรั่งที่รู้จักในนามเมืองพริทอเรีย (Pretoria) อีกหนึ่งเมืองที่น่าสนใจของแอฟริกา ซึ่งจุดเด่นในเมืองพริทอเรียจะมีรูปปั้นวีรบุรุษที่สำคัญอย่างอดีตประธานธิบดีของรัฐอิสระชาวบัวร์ “พอล ครูเกอร์” (Paul Kruger) ที่ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสกลางเมืองขนาดใหญ่ จนติดอันดับว่าเป็นทำเนียบประธานาธิบดีที่สวยที่สุดในโลก แนะนำให้คุณเข้ามาลองมาถ่ายรูปกันสักครั้ง
นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์บ้านของประธานาธิบดีครูเกอร์ให้เยี่ยมชมอีกด้วย บริเวณภายในก็จะมีข้าวของเครื่องใช้เก่าแก่ที่หาชมได้ยาก รวมถึงงานแสดงชิ้นวัตถุสำคัญสมัยสงคราม หากใครเดินทางด้วยรถยนต์ก็สามารถหาที่จอดรถบริเวณรอบ ๆ ถนน หรืออยากจะเดินจากใจกลางเมืองพริทอเรียได้เช่นกัน ไม่ไกลอย่างที่คิดครับ!
2. ชมพิพิธภัณฑ์ “เนลสัน แมนเดลา” วีรบุรุษของโลก
พิพิธภัณฑ์ เนลสัน แมนเดลา ต่อมาให้เราลองเข้ามาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ “เนลสัน แมนเดลา” (Nelson Mandala) อยู่ไม่ไกลจากเมืองโจฮันเนสเบิร์กครับ ถือเป็นสถานที่เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจของประธานาธิบดีผิวดำคนแรกแห่งแอฟริกาใต้ ปรับเปลี่ยนการเลิกทาสชาวผิวสีให้มีสิทธิในสังคม จึงกลายเป็นหนึ่งบุคคลที่สำคัญของโลก ถ้าคุณเดินเข้ามาภายในพิพิธภัณฑ์จะเห็นโบราณวัตถุต่าง ๆ ภาพถ่าย ห้องนอน และผลงานชิ้นสำคัญของท่าน หรือแม้กระทั่งโซฟาที่ท่านเคยนั่งใช้รับแขก ก็เปิดให้เข้าชมด้วย บรรยากาศจะให้ความรู้สึกอบอุ่น เรียบง่ายมาก ๆ ครับ ส่วนบริเวณด้านนอกก็จะมีร้านค้าท้องถิ่นขาย เช่น งานฝีมือ เสื้อผ้า เครื่องประดับ และร้านอาหารมุมเล็ก ๆ จากดินแดนเเอฟริกาใต้ เปิดให้บริการทุกวันเวลา 09.00 – 17.00 น.
3. ข้ามหุบเขา “แม่น้ำไบลด์” แดนสวรรค์แอฟริกาใต้
หุบเขา แม่น้ำไบลด์ เอ้า! สายขาลุยทั้งหลาย พลาดไม่ได้เลยครับ กับแดนสวรรค์ “หุบผาแม่น้ำไบลด์” หรือแคนยอนสีเขียวแห่งแอฟริกาใต้ เสมือนเป็นที่ยอดฮิตของนักเดินป่าไฮกิ้ง เพื่อมาชื่นชมความงามของธรรมชาติระหว่างหุบเขาขนาดใหญ่ ซึ่งจุดเด่นของที่นี่จะมีน้ำไหลผ่านอยู่ตลอดเวลา หินทรายเกาะกันเป็นแพ และมีพืชพันธุ์ป่าไม้อย่างทุ่งหญ้าสะวันนากระจายตัวอยู่รอบบริเวณ เราก็สามารถเดินเข้าไปสำรวจในพื้นที่ดังกล่าว พร้อมกับเซลฟี่ได้ตามอัธยาศัย แถมยังมีสะพานไม้ทอดยาวให้เดินข้ามชมด้านล่างอีกด้วย นับเป็นจุดที่พักผ่อนระหว่างเดินทางจากเมืองโจฮันเนสเบิร์กไปยังอุทยานแห่งชาติครูเกอร์นั่นเองครับ แต่สำหรับนักปีนเขาต้องระวัง Altitude Sickness โรคแพ้ที่สูงกันด้วยนะ เนื่องจากหุบเขานี้ค่อนข้างสูงชันมาก ดังนั้นเราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทางครับ
4. ส่องชีวิตสัตว์ป่าที่ “อุทยานแห่งชาติครูเกอร์”
เมื่อเราเดินทางมาเที่ยวแอฟริกาใต้กันแล้ว จะพลาดไม่ได้เลยกับ “อุทยานแห่งชาติครูเกอร์” (Kruger National Park) สถานที่เที่ยวชมสัตว์ป่าซาฟารี แบบเปิด! เพราะทางอุทยานจะจัดกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวเข้ามาส่องชีวิตสัตว์ป่ากันแบบจัดเต็ม คุณจะได้สัมผัสกับ ม้าลาย ช้าง แรด ยีราฟ สิงโต เสือดาว รวมถึงนก ปลา และสัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อุดมสมบูรณ์มาก มีธรรมชาติป่าไม้หลากหลายพันธุ์ที่หาชมได้ยากด้วยครับ หากใครที่อยากจะสัมผัสอุทยานแห่งชาติครูเกอร์ ก็สามารถนั่งรถจิ๊บแบบเปิดประทุนจากอุทยาน หรือใช้บริการซื้อทัวร์กันได้ตามสบาย ระหว่างทางคุณก็จะได้เห็นสัตว์ป่าเดินกระจายอยู่รอบ ๆ บริเวณ ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยทางอุทยานก็จะมีที่พักตากอากาศ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว พร้อมกับรับประทานอาหารยามค่ำคืน รับรองว่าคุณจะได้เพลิดเพลินกับเส้นทางธรรมชาติอย่างแน่นอน
** แต่ที่อุทยานแห่งชาตินี้จะมีกฎพิเศษ ก็คือ อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชมสัตว์ได้เพียงคนละไม่เกิน 3 ชั่วโมงเท่านั้น เพื่อไม่ให้รบกวนสัตว์มากจนเกินไป แล้วการเดินป่านักท่องเที่ยวจะต้องลงชื่อไว้ ไม่ต้องกลัวนะครับ จะมีเจ้าหน้าที่พาเดินไปตามเส้นทางที่สามารถเห็นสัตว์ป่าได้ชัดเจนเต็มอิ่มแน่นอน
5. ถ่ายรูปกับเพนกวิน ที่ริม “ชายหาดโบลส์เดอร์”
หลังจากส่องชีวิตสัตว์ป่าที่อุทยานกันแล้ว ก็ต้องลองมาเที่ยวว่ายน้ำที่ริม “ชายหาดโบลเดอร์ส” (Boulders Beach) ด้วยนะครับ เพราะคุณจะได้มีโอกาสเห็น “เพนกวินแอฟริกัน” รวมตัวจำนวนมากบนชายหาดแห่งนี้ โดยไม่กระจกกั้น นั่นก็คือ จะเปิดให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป หรือเข้ามาชมเพนกวินแบบใกล้ชิดเลยครับ โดยเราสามารถเข้ามาถ่ายรูปตรงบริเวณ 3 แห่งดังนี้
จุดที่ 1 Boulders Penguin Colony (โซนอนุรักษ์)
ถือเป็นจุดแรกที่เราจะได้เห็นเพนกวินเยอะที่สุด กระจายตัวอยู่รอบๆ ริมชายหาดโบลเดอร์ส สามารถเดินชมได้ตรงบริเวณสะพานไม้ที่ทอดยาวตลอดทาง หากคุณโชคดีหน่อยอาจจะเห็นเพนกวินกำลังวางไข่ด้วยนะ เนื่องจากทางอุทยานจะสร้างบ้านเป็นรู เพื่อให้เพนกวินทำรังหรือวางไข่ครับ
จุดที่ 2 Boulders Beach Strandbad
จะห่างจะจุดแรกประมาณ 550 เมตร ความน่าสนใจของหาดนี้ก็คือ สามารถเดินเล่นลงชายหาดกับเพนกวินได้ครับ ถ้าคุณอยากจะถ่ายรูปกับเพนกวินแบบใกล้ชิด ก็ต้องมาที่หาดนี้ให้ได้! แนะนำให้เดินข้ามโขดหินของชาดหาดไปหน่อย เพราะจุดนี้ทางเจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้เข้าไปถ่ายรูปได้ตามใจชอบ หรือสามารถว่ายน้ำและชมเพนกวินไปพร้อมๆ กันครับ
** สำหรับจุดแรกกับจุดที่สอง จะมีค่าเยี่ยมชม (ผู้ใหญ่) ประมาณ 190 บาท และเด็กประมาณ 100 บาท โดยค่าบริการจะเก็บเป็นค่าบำรุงสถานที่ และค่าอนุรักษ์เจ้านกเพนกวินสายพันธุ์แอฟริกันให้อยู่กับเราต่อไป
จุดที่สาม Seaforth Beach
อีกหนึ่งจุดที่เราสามารถลงเล่นในชายหาดได้ ฟรี! ไม่คิดค่าใช้จ่ายครับ แต่เราอาจจะเห็นเพนกวินน้อยกว่าจุดอื่น เพราะจะมีคนค่อนข้างเยอะ นอกจากนี้ยังมีจุดพักชาร์จพลังมีร้านอาหารอร่อย ๆ เพื่อให้นักท่องเที่ยวแวะมารับประทานระหว่างวันอีกด้วย
เกร็ดความรู้เพนกวินแอฟริกัน
เดิมเพนกวินชนิดนี้ชื่อว่า เพนกวินลา (Jackass penguin) แต่ภายหลังปรับเปลี่ยนชื่อเป็น “เพนกวินแอฟริกัน” โดยมีลำตัวขนาดเล็ก น้ำหนักประมาณ 2–5 กิโลกรัม สามารถพบได้มากที่สุดบนชายหาดโบลส์เดอร์ ประเทศแอฟริกาใต้ และเป็นเพนกวินเพียงชนิดเดียวที่พบในทวีปแอฟริกา หรือถ้ายังไม่เต็มอิ่มอ่าน 5 เรื่องน่ารู้ของชีวิตเพนกวินที่คุณ (อาจ) ไม่เคยรู้มาก่อนได้นะครับ
6. นั่งกระเช้าลอยฟ้า เที่ยวชม “ภูเขารูปโต๊ะ”
ภูเขารูปโต๊ะ มาเที่ยวแอฟริกาใต้ทั้งที ก็ต้องไปเที่ยวชม “ภูเขารูปโต๊ะ” (Table Mountain) กันสักครั้ง จะตั้งอยู่ทางทิศใต้ในเมืองเคปทาวน์ มีความสูงประมาณ 1,086 เมตรจากระดับน้ำทะเล จนได้รับเลือกให้เป็น 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกยุคใหม่ ซึ่งเกิดจากการกัดกร่อนตามลมและฝน จนทำให้กลายเป็นภูเขายอดตัดรูปร่างคล้ายโต๊ะตรงตามชื่อเลย สำหรับนักท่องเที่ยวคนไหนต้องการผจญภัย ก็สามารถเดินชมวิวระหว่างทางกันได้ แต่การไปสู่ยอดเขานั้นทางเจ้าหน้าที่จะมีบริการรถกระเช้าไฟฟ้า (Cable Car) บรรจุผู้โดยสารมากถึง 65 คนต่อครั้ง นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปดื่มด่ำทัศนียภาพและธรรมชาติข้างบน เรียกว่าเป็นจุดที่เห็นธรรมชาติได้ครบ 360 องศาเลยครับ จึงกลายเป็นเมืองสวรรค์และเป็นจุดหมายการเดินทางในฝันนักท่องเที่ยวจำนวนมาก อีกทั้งบริเวณนั้นยังมีท่าเรือบรรทุกสินค้า เอาใจขาช้อปให้ซื้อของฝากเด็ด ๆ กลับบ้านอีกเพียบ
7. ชิมไวน์ที่ไร่องุ่น Groot Constantia เมืองเคปทาวน์
สุดท้ายแล้วก่อนกลับ ก็อย่าลืมแวะเข้ามาชมไร่องุ่น และดื่มด่ำไวน์ชั้นเลิศที่ “กรูทคอนสแตนเทีย” (Groot Constantia) ณ เคปทาวน์ เมืองหลวงของประเทศแอฟริกาใต้กันนะครับ ถือเป็นไร่องุ่นที่เก่าแก่ที่สุดของแอฟริกาใต้ หากคุณมีโอกาสเข้ามาสัมผัสบรรยากาศที่นี่ ก็จะได้เห็นองุ่นหลากหลายสายพันธุ์ที่ชาวแอฟริกันปลูกครับ ได้แก่
- องุ่นเขียวชาร์ดอนเนย์ (Chardonnay) เป็นองุ่นคลาสิกวัตถุดิบหลักในการบ่มทำไวน์ขาว
- องุ่นดำใช้ทำไวน์แดงอย่างพันธุ์แมร์โลต์ (Merlot) ราคาไม่สูง รสชาติดี
- องุ่นเปลือกสีทองเซมิลยอง (Semillon) มีถิ่นกำเนิดที่ฝรั่งเศส แต่ปลูกที่แอฟริกาใต้ก็มี
- องุ่นซีราส (Shiraz) หากบ่มเป็นไวน์จะมีรสชาติค่อนข้างนุ่มนวล รสสัมผัสหนักแน่น ฝาดน้อยกว่า
ดังนั้นโดยเฉพาะผู้ที่ชอบดื่มไวน์ คุณสามารถเข้าไปในโรงกลั่นเหล้าองุ่นและชมการสาธิตการผลิตไวน์ได้ ตั้งแต่การเก็บองุ่นไปจนถึงการขาย หรือมีนักท่องเที่ยวที่ไม่เน้นการเรียนรู้มากนัก? หากท่านต้องการนั่งพักผ่อนและจิบไวน์สักแก้ว Groot Constantia Vineyard ก็มีให้บริการ พวกเขายังมีร้านขายไวน์ที่เข้ากันได้ดีกับช็อคโกแลตอีกด้วย คุณสามารถเลือกได้ตามความต้องการของคุณ ก่อนออกเดินทางอย่าลืมแวะชมพิพิธภัณฑ์ฟาร์ม เพราะคุณจะได้สำรวจวัตถุและภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตโรงกลั่น รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตไวน์ในอดีต ทัวร์แอฟริกาใต้สัญญาว่าจะน่าตื่นเต้น